ยินดีต้อนรับทุกท่านที่ร่วมเดินทางไปกับนายตาตีบ

นายตาตีบยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ความทรงจำของการเดินทางสายวัฒนธรรม ประเพณี และดนตรีนาฏศิลป์อีสาน ความรู้บางอย่างที่มิอาจหาได้จากห้องเรียน

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วงแคน ณ ลานแปดเหลี่ยม


               ผมก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง หรือคนทั่วไปมักรู้จักในชื่อ วงแคน ชาว วงแคน ตั้งแต่เปิดเทอมมาทุกคนยังไม่ได้หยุดพักในเรื่องของการซ้อมและการแสดงเลย ผมก็เช่นเดียวกัน ทำกิจกรรม หลายๆอย่างมากมายจนหัวจวนจะหมุนเป็นเกรียว ทั้งทำงานของสโมสรนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทำงานรายวิชาส่วนตัว และยังมีงานของ วงแคน อีกอย่าง ตั้งแต่เช้าของวันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมา กริ้ง ! ๆ ๆ เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น สวัสดีครับไผ่พูดครับ เอ่อ! ไผ่ วันที่ 12 มิถุนา มีงานแสดงที่ วิด-ลัยการเมืองเด้อ ลงมาซ้อมที่ชมรมตอนเย็นนะ เสียงของมิว หัวหน้านาฏศิลป์ชาย  โอเค แล้วตอนเย็นเดี๋ยวไปเด้อ ผมตอบรับอย่างยินดี 
             ประมาณ 5 โมงเย็นของวันนั้นผมออกเดินทางจากห้องพักกับน้องชายที่พักอยู่ด้วยกัน เพื่อที่จะไปซ้อมดนตรีและซ้อมฟ้อนที่ชมรม จากห้องพักผมถึงชมรม วงแคนที่อยู่ มอเก่า  ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15- 20 นาที ฮื้ม! . .” เสียงดับเครื่องของรถมอไซด์  ที่ผมใช้เดินทางดับลง ผมก้าวเดินลงจากรถ บึ่งหน้าไปที่ห้องพระของชมรม ซึ่งเป็นห้องที่ทางชมรม ให้ความเคารพมาก 
ห้องพระชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง โดยมีหลวงพ่อใหญ่วงแคน เป็นพระประธาน

                พอกราบพระเสร็จ ประธานชมรมได้เรียก สมาชิกชมรมทุกคนประชุมถึงรายละเอียดในงานที่จะไปแสดง พอประชุมเสร็จ ทุกคนจึงได้แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง ผมซึ่งได้หน้าที่ในงานนี้เป็นนาฏศิลป์ชาย  ลายที่ผมได้ฟ้อนนั้นคือ ลายเต้ยหัวโนนตาล ผมทำการซักซ้อมพอรู้ว่าท่าไหนขึ้นก่อนหลัง ลักษณะของท่าต่างๆพอสมควรแล้ว ไผ่ๆ ๆ เสียงคิมเรียกผม อีหยัง ผมถามไปด้วยความสงสัย ซ้อมเสร็จแล้วไป่ (ซ้อมเสร็จยัง) คิมถาม เสร็จแล้ว เอ่อ มาต่อท่ารำมวยโบราณให้น้องเขาแหน่ คิมบอก  ผมพยักหน้าแล้วเดินตรงไปหากลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มคนกลุ่มนี้คือนิสิตปี 1 ที่เข้ามาด้วยโควตาขับร้องนั่น ผมจึงบอกให้เขาหัดเดินในท่ากาเต้นก้อนขี้ไถ หรือเดินย่องในแบบรำมวยนั่นเอง  เวลาประมาณเกือบ 4 ทุ่มของวันนั้น ทางประธานชมรมก็สั่งให้หยุดการซ้อมทุกอย่าง แล้วให้ทุกคนไปประชุมรวมกันที่ห้องซ้อม ในการประชุมแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีแค่นั้นเพื่อรับทราบรายละเอียดของงาน ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันที่ 12 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่ต้องแสดง 


วันนี้ทางชมรมนัดนักแสดง และนักดนตรี เวลา บ่าย 2 รวมตัวกันที่ชมรมเพื่อเตรียมของที่จะใช้ในการแสดง ผมได้ออกเดินทางจากห้องพักตั้งแต่เวลา บ่ายโมงครึ่งด้วยรถมอไซด์ กับน้องคนเดิม พอไปถึงชมรมผมก็รีบบึ่งเข้าไปห้องพระอย่างเช่นเคย หลังจากกราบพระเสร็จก็ช่วยเพื่อนจัดของเข้ากล่องเพื่อเตรียมนำไปแสดง พอดีวันนี้เป็นวันพิเศษอีกอย่าง นั่นคือ วันคล้ายวันเกิดของครูบุ๋ม นาฏศิลป์หญิงสมาชิกคนหนึ่งของชมรม ทางเพื่อนๆที่มาก่อน จึงจัดการเตรียมเค้กวันเกิดเพื่อที่จะเซอร์ไพร์  พอจัดของเสร็จเรียบร้อยทุกคนจึงช่วยกันขนของออกมาข้างนอก เพื่อเตรียมเอาขึ้นรถที่จะมารับในอีกไม่กี่นาทีที่จะถึง หลังจากขนของออกจากห้องเสร็จทุกคนพากันปูเสื่อใต้ต้นไม้หน้าชมรมนอนรอรถที่จะมารับ แต่มีคน 3-4 คนที่เดินกลับมาในห้องของชมรมอีกครั้งหนึ่งในนั้นก็มีผมด้วย พร้อมกลับออกมาด้วยเค้กวันเกิดก้อนโต ในตอนนั้นบุ๋มเจ้าของวันเกิดยังนอนเล่นไม่รู้เรื่องกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พอพวกผมเดินมาถึงที่ที่เจ้าของวันเกิดนั่งอยู่ 1 -2 -3 แฮปปี๊เบิร์ดเดย์ ทูยู เสียงของ องุ่น หญิงสาวผู้ถือ เค้กวันเกิดเริ่มเป็นต้นเสียง 

วันนี้วันเกิดครูบุ๋มจ้า 

            พอเสร็จจากการกินเค้กวันเกิดเสร็จ รถสองแถวที่จะใช้ขนของไป มอใหม่ ก็มาถึงพอดี ใช้เวลาในการเดินทางจาก มอใหม่ถึง มอเก่า ประมาณ 10 นาที ถึงวิทยาลัยการเมืองการปกครอง เวลา  4 โมงเย็นทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง นางรำก็ขนเครื่องใช้ของตนเองไปที่ห้อง D-211 นักดนตรีก็ขนของไปไว้ที่หน้าตึกวิด-ลัยการเมือง เวลาประมาณ 6 โมงเย็นเป็นเวลาเริ่มการแสดง เริ่มจากการแห่พานบายศรีสู่ขวัญ ทำการสู่ขวัญ


 และบรรเลงลายบายศรีสู่ขวัญ  เปิดวง เต้ยหัวโนนตาล การแสดงนี้เองที่ผมได้มีส่วนร่วมในการแสดงด้วย ในตอนที่กำลังแสดงนี้เอง ท้องของผมก็เริ่มรู้สึกปั่นป่วน ลมเบื้องบนตีกับลมเบื้องล่าง ทำให้ผมรู้สึกปวดท้องอย่างบอกไม่ถูก พอแสดงเสร็จลงมาจากเวทีอาจารย์กัณตพล ที่ปรึกษาวงแคน เดินมาหาผมแล้วถามผมว่า ไผ่ทำไมไม่ยิ้ม ผมเลยตอบอาจารย์ไปด้วยเหตุผลว่า ผมปวดท้องครับอาจารย์ และอีกอย่างคือถ้าผมยิ้มผมจะมองไม่เห็นทางครับ อาจารย์ถึงกับยิ้มออกมาด้วยความขำ การแสดงดำเนินต่อไปด้วย ฟ้อนแพรวากาฬสินธุ์ ฟ้อนลีลาวดี และตามด้วยปิดวงเป็นอันจบการแสดง การแสดงในครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีเห็นได้จาก ความสนุกของคนที่มาดู มีส่วนร่วมถึงกับลุกขึ้นฟ้อนกันเป็นจำนวนมาก 

วงแคน ณ หน้าตึก D

บาส มือโหวด

ฟ้อนเต้ยหัวโนนตาล

ฟ้อนแพรวากาฬสินธุ์

อ๊อฟ มือกลอง

เหมือนจะร้องไห้เลย องุ่น 

ดูใบหน้าคนข้างหลัง อาการของคนปวดท้อง

ฟ้อนแพรวา สวยมาก













กั๊บแก๊ป กับ นางไห วงแคน

รอยยิ้ม ตรึงใจ






วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ธรณีสูบ ตอน 2

                บทความตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้เล่าถึง ประวัติธรณีสูบ ในสมัยพุทธกาล ซึ่งมีอยู่ 5 บุคคลที่ถูก ธรณีสูบ นั่นก็คือ พระเทวทัต นางจิญจมานวิกา นันทมานพ นันทยักษ์ และพระเจ้าสุปปพุทธะ ส่วนในตอนที่ 2 นี้ผู้เขียนจะเล่าถึงธรณีสูบคนทำชั่วในประเทศไทยของเรานี่เอง ผู้เขียนได้ฟังเรื่องนี้ จากท่านผู้เฒ่าที่อยู่ในจังหวัดนครปฐม เมื่อครั้งไปเยี่ยมแม่ที่มีครอบครัวใหม่ (แม่มีสามีใหม่ซึ่งอย่าร้างกับพ่อผู้เขียนตั้งแต่ผู้เขียนอายุได้ 1 ขวบ) ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตาที่อยู่ข้างบ้านของแม่ เกี่ยวกับความเป็นอยู่และชีวิตประจำวันของท่าน และท่านได้พูดถึง การทำบาปบุญคุณโทษ ให้ผู้เขียนได้ฟัง และได้ยกเรื่องๆหนึ่งที่ผู้เขียนได้ฟังแล้วถึงกลับกลัว ท่านเล่าว่า  สมัยที่บ้านเมืองยังไม่เจริญเช่นทุกวันนี้ แถวๆ ลพบุรี เมื่อราว ๕๐ กว่าปีผ่านมา เล่ากันว่า



ณ เชิงเขาสะพานนาค มีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่งที่ท้ายหมู่บ้านมีกระต๊อบหลังคามุงแฝกหลังหนึ่ง เป็นที่อยู่อาศัยของ ๔ ชีวิต มีหญิงชราผู้เป็นแม่ ลูกชาย - ลูกสะใภ้ และหลานน้อย ลูกชายชื่อทองเป็นคนเจ้าอารมณ์ โมโหร้าย มุทะลุดุดัน ชอบเล่นการพนัน ติดสุรายาเสพติด วันๆการงานไม่ทำเอาแต่ดื่มสุราหาเล่นการพนัน แม่กับเมียจะลำบากอย่างไรก็ช่าง
ผู้เป็นเมียจึงออกไปทำไร่หาเลี้ยงครอบครัวทุกวันปล่อยให้แม่ผัวกับลูกน้อยเฝ้าบ้าน เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง ย่ากับหลานอยู่ด้วยกันสองคน ย่าแก่แล้วจึงงกๆเงิ่นๆด้วยความชราตามหลานไม่ค่อยจะทัน หลานน้อยก็แสนซนคอยลักหนีไปเที่ยวอยู่เรื่อย
ตะวันบ่ายคล้อยผู้เป็นย่าจัดแจงเข้าครัวหุงหาอาหารไว้คอยลูก ย่ากำลังทำครัวเพลินหลานน้อยได้โอกาสหนีไปเล่นน้ำในโอ่งข้างล่าง น้ำมีเพียงครึ่งโอ่งหลานน้อนจอมซนจะตักน้ำมาเล่นแต่ตักไม่ถึงจึงปีนปากโอ่งพยายามตักน้ำให้ได้ บังเอิญพลาดหัวทิ่มลงไปในโองดิ้นขลุกขลักอยู่ จะขึ้นก็ไม่ได้ หายใจก็ไม่ออกทุรนทุราย ฝ่ายย่าอยู่ในครัวได้ยินเสียงหลานดิ้นจึงรีบออกมาดูเห็นแต่เท้าโผล่ออกมาจึงรีบคว้าหลานขึ้นจากโอ่ง อนิจจา....สายเกินไปเสียแล้วเด็กน้อยขาดใจตายเสียแล้ว
หญิงชราตกใจแทบสิ้นสติ ได้แต่กอดศพหลานร้องไห้คร่ำครวญปิ่มว่าจะขาดใจ เพื่อนบ้านเดินทางผ่านมาจึงแวะเข้าไปดูเห็นหญิงชรากอดศพหลานร้องไห้อยู่ สอบถามดูก็รู้สาเหตุจึงให้คนไปตามเอาลูกชายลูกสะใภ้ของหญิงชราให้กลับมาบ้าน
ที่วงการพนันเจ้าทองร่ำสุราได้ที่เข้าเล่นการพนันกำลังเสียอารมณ์ไม่ดี พอมีคนไปส่งข่าวว่าลูกชายตายจึงรีบกลับบ้านด้วยความเสียใจ มาถึงบ้านเห็นแม่กับเมียร้องไห้อยู่ข้างศพลูกชายท่ามกลางเพื่อนบ้าน เจ้าทองยิ่งเสียใจบวกด้วยความเมาและอารมณ์เสียจากพนันจึงเอะอะตึงตังตะคอกถามแม่ด้วยเสียงอันดังถึงสาเหตุที่ลูกของตนทำไมจึงตกน้ำตาย
ผู้เป็นแม่เห็นเจ้าทองเอะอะขึงขังเสียงดังก็ใจคอไม่ค่อยดี ปากคอสั่นจับต้นชนปลายไม่ถูก เพื่อนบ้านจึงเล่าให้ฟังแทน เมื่อรู้เรื่องแทนที่เจ้าทองจะระงับยับยั้งอารมณ์กลับมีโมโหโทสะเพิ่มขึ้น ชี้หน้าด่าแม่อย่างเดือดดาลว่าไม่ดูแลหลานให้ดี แม่ได้แต่ตกใจกลัวตัวสั่น
เจ้าทองลืมตัวขาดสติยับยั้งชั่งใจกระชากมีดเหน็บอยู่ข้างฝาบ้านตรงเข้าไปหมายจะฆ่าแม่ให้ตายด้วยความแค้น เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์เห็นท่าไม่ดีจึงเข้าขัดขวางจับกุมไว้ พร้อมว่ากล่าวเตือนสติ แต่เจ้าทองหน้ามืดตาลายเสียแล้วออกแรงสะบัดดิ้นจนหลุดกระโจนเงื้อมีดเข้าหาแม่

หญิงชราเห็นท่าไม่ดีจึงออกวิ่งหนีจากบ้าน ไอ้ลูกเนรคุณยังไม่ลดละไล่กวดตามแม่ไปติดๆอย่างไม่ลดละหญิงชราวิ่งกระเซอะกระเซิงหนีตาย ดีแต่เจ้าทองยังไม่สร่างเมาดีจึงวิ่งเปะปะตามแม่ไม่ค่อยจะทัน เพื่อนบ้านเห็นเหตุการณ์พยายามจะขัดขวางแต่ถูกเจ้าทองป่ายมีดวืดวาดเข้าใส่ ต่างก็กระเจิดกระเจิงออกไปทุกทิศ เจ้าทองออกตามแม่ไปอย่างกระชั้นชิด
หญิงชราเห็นท่าไม่ดีจึงหนีเข้าวัดหวังพึงคุณพระคุณเจ้าให้ช่วยด้วยเป็นเขตอภัยทาน เข้าไปหาสมภารที่กุฏิร่ำร้องให้ช่วยสงเคราะห์แก่สัตว์ผู้ตกยาก สมภารเข้าขวางหมายเตือนสติพยายามเทศนาสั่งสอนให้รู้จักชั่วดีว่าการฆ่าพ่อฆ่าแม่นั้นเป็นบาปมหันต์ พ่อแม่มีบุญคุณที่เลี้ยงเรามากว่าจะเติบโตแสนจะลำบาก แต่เจ้าทองหาได้เชื่อฟังไม่กลับตรงเข้าไปผลักท่านสมภารจนเซถลาตรงเข้าไปจะฆ่าแม่ที่แอบอยู่ข้างหลังอีก
หญิงชราอาศัยจังหวะที่เจ้าทองยังช้าอยู่วิ่งออกจากกุฎิหมายเข้าไปที่โบสถ์ปิดประตู เจ้าทองออกวิ่งตามไปติดๆหวุดหวิดจวนเจียน หญิงชราก้าวขาเข้าโบสถ์ เจ้าทองเงื้อมีดหมายจะฆ่า
ฟ้าดินก่อปาฏิหารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าข้างคนดีลงโทษคนชั่ว ฉับพลันพื้นดินที่เจ้าทองเหยียบอยู่พลันก็แยกออกจากกันเหมือนทานน้ำหนักคนชั่วไม่ไหว ลูกทรพีตกใจสุดขีดร่างร่วงลงไปในรอยแยกมีดหลุดจากมือสร่างเมาโดยฉับพลันแถมแผ่นดินนั้นกลับหนีบตัวเอาไว้ เจ้าทองพยายามดิ้นให้หลุดแต่ดินนั้นยังคงดูดเจ้าทองลงไปเรื่อยๆยิ่งดิ้นยิ่งดูดเจ้าทองตาสว่างได้คิดถึงบาป-บุญว่ามีจริง ตนเจอบาปกรรมตามทันจึงเกิดความกลัวแหกปากร้องเรียกให้คนช่วยเสียงดังลั่นสนั่นหวั่นไหวด้วยกลัวตาย



หญิงชราผู้เป็นแม่หนีเข้าโบสถ์ได้ก็ปิดประตูรอดตาย แต่ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของเจ้าทองก็แปลกใจแง้มประตูออกดู เห็นเจ้าทองถูกธรณีสูบก็ตกใจเข้าใจทุกอย่างทันที ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่เกิดความเป็นห่วงกลัวลูกจะตาย ลืมไปแล้วว่าเพิ่งถูกลูกทรพีคนนี้ไล่ฆ่าจนเอาชีวิตแทบไม่รอดมาหยกๆ ( นี่แหละหนอความรักของแม่ที่มีต่อลูก ) รีบเปิดประตูโบสถ์ถลาออกมาดูลูกทันที
เจ้าทองเห็นแม่ออกมาหา ถึงกับน้ำตาร่วงร้องไห้โฮด้วยสำนึกผิด กราบเท้าแม่สารภาพผิด หญิงชราคว้าแขนลูกชายหมายจะดึงให้พ้นจากพื้นดินที่ดูดแต่ก็หาได้ขยัยเขยื้อนไม่ ผู้เป็นแม่หมดปัญญาก็ไปขอร้องให้พระในวัดมาช่วย พอดีชาวบ้านตามมาทันนางก็ขอให้ช่วยลูกชั่วของตนให้พ้นภัย


ท่านสมภารให้ชาวบ้านทำขันธ์ ๕ ให้เจ้าทองขอขมาโทษแม่และฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้กระทำชั่วล่วงเกินแม่ และขอให้แม่ธรณียกโทษให้ หญิงชราผู้เป็นแม่ยกโทษอโหสิกรรมให้ ชาวบ้านจึงช่วยกันฉุดเอาเจ้าทองขึ้นจากดิน แต่ไม่ว่าจะฉุดกระชากลากดึงอย่างไรก็หาขยับเขยื้อนไม่มีแต่จะจมลงๆ ชาวบ้านจึงเปลี่ยนมาเป็นขุดดินออก



แต่แปลกประหลาดอัศจรรย์เหมือนสวรรค์ลงโทษซ้ำ ดินนั้นกลับแข็งเหมือนเหล็กจนจอบเสียมที่ขุดกระเด็นดีดออกมาโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมยกโทษให้
ในที่สุดก็จนปัญญาที่จะช่วยเจ้าทองได้แม่และเมียจึงได้นิมนต์ท่านสมภารให้เทศนาโปรดเจ้าทองเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าลูกทรพีสำนึกผิดฟังเทศน์ด้วยอาการสงบน้ำตานองหน้า ร่างก็จมลงเรื่อยๆ เจ้าทองทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลา ๑ วัน ๑ คืน ก็สิ้นใจตายพร้อมกับร่างจมลงหมดแผ่นดินก็ปิดเหมือนเดิม ท่ามกลางความโศกเศร้าสังเวชใจของชาวบ้านที่พบเห็น

ดังที่กล่าวมา บุคคลผู้ซึ่งทำผิดทำบาปใน 1 ครั้ง แม้จะสำนึกบาป แต่บาปนั้นยังคงติดตัวไปเหมือนดั่งเงาตามตัว ฉะนั้นจงรีบเร่งทำบุญเพื่อเก็บตุ๋นเสบียงไว้เมื่อตายไปจะได้ใช้อย่างแน่นขนัด

ธรณีสูบ ตอน 1

"ธรณีสูบ" คำนี้คงคุ้นกันดีในทางพระพุทธศาสนา กล่าวกันว่า ผู้ใดทำบาปหนักจนมิอาจที่จะให้อภัยเพราะให้อภัยแล้ว แต่ยังก่อกรรมที่หนักหนา จนเกินควรอภัยอีก เป็นผู้มีจิตใจต่ำทราม แม้แต่ธรณีอันน้อยนิดยังมิอาจให้หยั่งได้ ผู้นั้นเป็นผู้ต้องธรณีสูบเป็นแน่ แล้วบุคคลประเภทไหนที่สมควร ที่จะถูกธรณีสูบ มีคำกล่าวอีกว่า บุคคลที่ต้องทรณีสูบนั้น มีหลายกรณีด้วยกัน
1. คิดร้าย และทำร้ายพระบรมศาสดา
2. ทำร้ายพระอรหันต์
3. ฆ่าพระสงฆ์ผู้บรรลุธรรมและฆ่าพระอรหันต์
4.. จิตใจต่ำทรามคิดฆ่าบุพการีผู้ให้กำเนิด
5. ประทุศร้ายพระศาสดาและพระศาสนาให้มัวหมอง
ดังที่กล่าวมานั้น ท่านได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดประพฤติชั่วดังนี้ จะต้องถูกธรณีสูบเป็นนิจ ถ้าไม่ต้องธรณีสูบ เมื่อตายไปต้องตกนรกอเวจีอยู่ร่ำไป จึงมีคำถามตามมาว่า ธรณีสูบ สูบไปไหน คำตอบคือ สูบให้ตายในทันทีแล้วเกิดทันทีหรือเกิดแบบโอปะปาติกะ เกิดแล้วโตทันที แต่เมื่อโดนธรณีสูบแล้วจะต้องไปเกิดในมหานรกอเวจี ต้องทุกขเวทนาไม่ได้เกิดชั่วกัปชั่วกัลป์ ในพุทธประวัติก็เช่นเดียวกัน มีเรื่องเล่ากับผู้ที่โดนธรณีสูบนั้นอยู่ 5 คน เหตุที่ต้องโดนธรณีสูบนั้น มีหลายสาเหตุแล้วแต่บุพกรรมที่บุคคลนั้นได้กระทำ ดังพระเทวทัต

พระเทวทัต


พระเทวทัตกลิ้งหินหวังให้กลิ้งทับพระศาสดา 




พระเทวทัตถูกธรณีสูบ


บ่อน้ำใกล้ทางเข้าวันเชตวัน สถานที่พระเทวทัตต้องธรณีสูบ


                พระเทวทัต ในสมัยพระพุทธกาลเป็นพี่ของพระนางยโสธรา (พิมพา) พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร ที่มาเป็นพระพุทธเจ้า และเป็นลูกของลุง พระพุทธเจ้าเองพระเทวทัตนั้นตามจองล้างพระพุทธเจ้ามานานหลายชาติ อดีตชาตินานมาแล้วนั้นพระเทวทัตเป็นพ่อค้าวานิช มีจิตละโมบทุจริตและในชาตินั้น พระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพ่อค้าวานิชด้วยเช่นกันแต่เป็นฝ่ายสุจริต

วันหนึ่ง หญิงชราซึ่งเป็นผู้ดีตกยาก มีถาดทองคำของต้นตระกูลเหลืออยู่ จึงนำออกมาขาย พระเทวทัตเห็นเช่นนั้นจึงลวงด้วยเล่ห์ต่อหญิงชรานั้นว่า ถาดนั้นมิใช่ทองคำแท้เป็นทองปลอม จึงเสนอขอซื้อราคาถูกแต่หญิงชรานั้นรู้ดีว่าถาดที่แกนำออกมาขายนั้นทำด้วยทองคำแท้จึงมิยอมขายให้ ในเวลาเดียวกันนั้น พระพุทธองค์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพ่อค้ามาพบเข้า เห็นเป็นถาดทำด้วยทองคำแท้ก็ให้ราคาตามความเป็นจริง สร้างความโกรธแค้นให้แก่พระเทวทัตเป็นยิ่งนัก ถ้าไม่มีพระพุทธองค์มาซื้อถาดทองคำนั้น ในมิช้าหญิงชราก็จักต้องนำถาดทองคำมาขายแก่ตนเพราะความยากจน ด้วยเหตุนี้พระเทวทัตจึงผูกพยาบาทด้วยการกอบเม็ดทรายขึ้นมา ๑ กำมือหว่านลงกับพื้นดินประกาศว่า .. เราจะจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเม็ดทรายในกำมือ ๑ เม็ด เท่ากับ ๑ ชาติ จึงตามเบียดเบียนพยาบาทจองเวรกันมานับภพชาติไม่ถ้วน

เรื่อยมาจนกระทั่งพระชาติสุดท้ายก่อนจะที่จะมาตรัสรู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระเทวทัตได้มาเกิดเป็นพระพราหมณ์นามว่า ชูชก จนกระทั่งมาถึงพระชาติที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตมีจิตริษยาพระพุทธเจ้านับตั้งแต่เยาว์วัย ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เจ้าชายเทวทัตได้ออกบวชด้วยเช่นกัน เมื่อบวชแล้วได้โลกีย์ญาณ มีความชำนาญในอภิญญา สามารถนิรมิตกายเหาะเหินเดินอากาศได้ จึงเกิดความกำเริบใจเพราะอกุศลกรรมเข้าสนับสนุน ใช้ฤทธิ์แปลงกายเป็นพระศาสดา กล่าวให้ร้ายในพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์ ว่ายังอนุญาตให้สงฆ์สาวกฉันเนื้อสัตว์ที่ถูกนำมาถวายเป็นพระกระยาหาร และก็เริ่มต้นสร้างความเลื่อมใสด้วยการฉันมังสวิรัติ ให้เห็นว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ยินยอมให้พุทธสาวกปฏิบัตินั้นคือความเสื่อม

มิเพียงเท่านั้น ยังลวงเจ้าชายอชาติศัตรูให้กบฏต่อพระราชบิดาแล้วตั้งตัวเองเป็นพระราชา พระเจ้าอชาติศัตรูนั้นเคยเลื่อมใสพระพุทธองค์ แต่เมื่อถูกพระเทวทัตลวงก็ตัด อุปนิสัยแห่งมรรคผลเบื้องต้นเสีย ทำตัวเองไปสู่ความพินาศอย่างใหญ่หลวงถึงขั้นทำกรรมหนักปลงพระชนม์พระราชบิดา พระเทวทัตเองก็คิดปลงพระชนม์พระพุทธองค์แล้วจะตั้งตนเป็นพระศาสดาเสียเอง อกุศลกรรมที่พระเทวทัตก่อขึ้นตั้งแต่ต้น คือส่งนายขมังธนูเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธองค์ ยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรูมอมเหล้าช้าง นาฬาคีรี จนมึนเมาดุร้ายแล้วปล่อยออกไปทำร้ายพระพุทธองค์ ตลอดจนกระทั่งยุยงหมู่พระสงฆ์ให้เห็นความมัวหมองในพรหมจรรย์ ของพระพุทธองค์ ขณะเดียวกันพระเทวทัต ได้หันมาฉันมังสวิรัติเป็นการโอ้อวดพรหมจรรย์ที่สูงกว่า ความเลวร้ายของพระเทวทัตนั้นหนักหนา จนแผ่นดินที่รองรับอยู่นั้นทนมิได้ แยกตัวออก และสูบเอาพระเทวทัตตกสู่ขุมนรกอเวจี ยืนเสวยอกุศลวิบากอีกนานเท่านาน จนแทบจะนับกาลเวลาไม่ได้

คนต่อไปที่โดนธรณีสูบลงมหาอเวจีคือ นันทมานพผู้หลงไหลในความงามของภิกษุณี

นันทมานพ




พระอุบลวรรณาเถรี
นันทมานพมิได้ทำร้ายพระพุทธองค์ แต่ทำร้ายสาวกของพระพุทธองค์ คือพระ อุบลวรรณาเถรี พระอุบลวรรณาเถรีเป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ ออกบวชตั้งแต่อายุ ๑๖ มีความสวยงามมาก ซึ่งก่อนนั้นที่เป็นฆราวาสความสวยเป็นที่เลื่องลือ และเป็นที่หมายปองของพระราชาคหบดี และมหาเศรษฐีมากมาย แต่พระอุบลวรรณาเถรีเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาส เห็นเป็นทุกข์จึงออกบวชเป็นภิกษุณี เมื่อบวชได้ไม่นานก็บรรลุอรหัตผลมีฤทธิ์มาก แต่ว่านันทมาณพมีความต้องการด้านกามราคะฝังแน่นในใจมาช้านาน

วันหนึ่งนันทมานพทราบว่า พระอุบลวรรณาเถรีจำพรรษาอยู่ในป่า ในกระท่อมเล็ก ๆ ด้วยจิตอันฝังแน่นด้วยราคะตัณหานันทมาณพได้แฝงตัวแอบรออยู่จนถึงเช้า พระอุบลวรรณาเถรีออกบิณฑบาตแล้ว นันทมานพได้หลบเข้าไปแอบซ่อนอยู่ใต้เตียงนอนในกระท่อม เมื่อพระอุบลวรรณาเถรีกลับจากบิณฑบาต ยังมิได้ฉันข้าว นั่งพักสงบอยู่บนเตียง นันทมาณพได้ออกมาจากที่ซ่อนเข้าปลุกปล้ำ พระอุบลวรรณาเถรีแม้นจะร้องหาคนช่วยก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีใครอยู่ใกล้ จึงกล่าวให้สติแก่นันทมาณพว่า จงอย่าทำเช่นนี้ .. ความหายนะจะมาสู่ท่าน นันทมาณพมิได้ฟังกลับปลุกปล้ำพระอุบลวรรณาเถรีจนสำเร็จความใคร่ดังใจปรารถนา พอก้าวลงจากแคร่ก็ถูกแผ่นดินสูบตกลงสู่มหานรกอเวจีด้วยกรรมลามกนั้นหนักมาก

พระอุบลวรรณาเถรี ถูกวิจารณ์ว่าการสัมผัสเช่นนี้ พระอุบลวรรณาเถรีจะไม่มีความยินดีไม่ได้ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสบอกต่อพุทธสาวก... พระอรหันต์นั้นมิใช่ไม้ผุ ไม่มีกิเลส ไม่มีความยินดีในกิเลส เฉกเช่นตุ๊กตาที่ไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันใด พระอรหันต์ก็เป็น เช่นนั้น .."

ตนนี้เป็นยักษ์แต่เนื่องจากมีจิตใจต่ำทรามทำร้ายพระอรหันต์จึงต้องโดนธรณีสูบ นั่นก็คือ นันทยักษ์

นันทยักษ์



นันทยักษ์มิได้สร้างกรรมต่อพระพุทธองค์ แต่กระทำเบียดเบียนต่อพระสารีบุตร ผู้บำเพ็ญธรรม .. ครั้งนั้น นันทยักษ์ ผู้มีฤทธิ์เดชเหาะมาบนอากาศพร้อมด้วยเหมตายักษ์ เมื่อเหาะมาถึงตรงที่พระสารีบุตรกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่ในอากาศธาตุ ในบริเวณนั้นว่างเปล่าจากอากาศธาตุนันทยักษ์เหาะผ่านไม่ได้ จึงเกิดบันดาลโทสะ ด้วยในชาติปางก่อนนั้น นันทยักษ์ได้อาฆาตพยาบาทพระเถระเอาไว้ จึงมีจิตคิดกระทำปาณาติบาตต่อพระสารีบุตรด้วยความพาลในสันดาน เหมตายักษ์ได้ทัดทานให้ละเว้นเสีย แต่นันทยักษ์ก็มิฟัง เหาะขึ้นบนอากาศ ใช้กระบองซึ่งเป็นอาวุธแห่งตนฟาดลงบนศีรษะของพระสารีบุตร ความแรงแห่งการฟาดนั้น สามารถพังภูเขาในคราวเดียวกันได้ถึง ๑๐๐ ลูก แต่พระสารีบุตรซึ่งอยู่ในนิโรธสมาบัตินั้น หาได้รับอันตรายจากการประทุษร้ายของนันทยักษ์ไม่ เมื่อเห็นพระสารีบุตรมิได้รับอันตราย นันทยักษ์ก็บังเกิดเพลิงเร่าร้อนในอารมณ์ กล่าวออกมาด้วยเสียงอันดังว่า เราร้อน ... เราร้อน แล้วตกลงมาจากอากาศ แผ่นดินเปิดช่องดึงร่างของนันทยักษ์ หายลับตาไปในบัดดลดิ่งลงสู่มหานรกอเวจี อันลึกสุด

บุคคลต่อไปเป็นสตรีเพศ แต่เนื่องจากทำมารยา ว่าร้ายพระศาสดาจึงต้องธรณีสูบอีกรายนั่นก็คือ นางจิญจมานวิกา

นางจิญจมาณวิกา

นางจิญจมาณวิกา ใช้อุบายว่าตนตั้งครรภ์กับพระศาสดา
นางจิญจมาณวิกาเบียดเบียนพระพุทธองค์โดยรับอาสาจากพวก ปริพาชก บุคคลในลัทธิอื่นที่มีจิตริษยาในลาภสักการะของพระพุทธองค์ จึงคิดกลั่นแกล้งด้วยการจ้างนางจิญจมาณวิกา แกล้งทำเป็นคนท้อง ให้เขากลึงไม้นูนผูกรัดไว้ที่เอว แล้วก็ไปร้องบอกสมณะโคดมขณะนั่งประทับเทศนาว่า ท่านสมณะโคดม จะมัวมานั่งเทศน์หน้านวลอยู่ทำไม นี่เธอทำให้ฉันมีครรภ์เช่นนี้กลับมิดูแล อย่ามัวเทศน์โปรดพุทธบริษัทอยู่เลย จงไปตัดฟืนไว้เพื่อฉันดีกว่า เวลาคลอดแล้วลูกเราจะได้มิลำบาก



พระอินทร์แปรงกายเป็นหนูกัดเชือกที่รัดเยื้อไม้ของนางจิญจมาณวิกาขาด


พระพุทธองค์ได้ทรงสดับ จึงหยุดเทศนาและกล่าวกับนางจิญจมาณวิกาว่า

ภัคคินี ดูก่อนน้องหญิง เรื่องที่เธอกล่าวนั้น คนอื่นเขามิได้รู้เรื่องด้วยดอกนะ จะมีเธอกับฉันเพียงสองคนเท่านั้นละที่รู้กัน



นางจิญจมาณวิกา ถูกธรณีสูบหน้าวัดเชตวัน
พระพุทธองค์ทรงกล่าวด้วยความอิ่มเอมใจท่ามกลางความสงสัยของพุทธบริษัท เรื่องนี้เดือดร้อนถึงพระอินทร์ที่ต้องทำหน้าที่รักษาผู้ทรงคุณธรรมสูงส่ง จึงทรงแปลงกายเป็นหนูไปกัดเชือกที่ผูกไม้ ทำให้ไม้ที่ผูกติดไว้เหมือนเช่นคนมีครรภ์นั้นหลุดตกลงมา พุทธบริษัทเห็นมารยากล่าวให้ร้ายที่นางจิญจมานวิกากระทำต่อพระพุทธองค์ ดังนั้นก็ดุด่าไล่ขว้างด้วยก้อนหินและไม้ นางจิญจมาณวิกา ได้วิ่งหลบหนี พอพ้นคลองจักษุของพระพุทธองค์ นางจิญจมาณวิกา ก็ถูกธรณีสูบลงสู่นรกมหาอเวจีด้วยกรรมอันหนักนั้น



บ่อน้ำอีกแห่ง หน้าวัดเชตวัน สถานที่นางจิญจมานวิกาถูกธรณีสูบ

นางจิญจมาณวิกาเมื่อชาติก่อนหน้านั้นนางเกิดเป็น นางอมิตตดา ภริยาของชูชกหรือพระเทวทัตในชาติเดียวกัน กับที่พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นพระเวสสันดรนั่นเอง

และบุคคลที่ 5 เป็นพระญาติอีกคนของพระนางพิมพาชายาพระสิทธัตถะ แต่เนื่องจากมีใจอาฆาตพระศาสดาและมาตาปิตุฆาต จึงต้องโทษธรณีสูบบุคลที่กล่าวคือ พระเจ้าสุปปพุทธะ

พระเจ้าสุปปพุทธะ



พระสิทธัตถะ กับพระนางพิมพา

พระเจ้าสุปปพุทธะเป็นกษัตริย์โกลิยะวงศ์เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัต เมื่อทราบว่าพระเทวทัตถูกธรณีสูบ ลงมหาอเวจีนรกก็มิสำนึกในบาปบุญคุณโทษ กลับมีจิตอาฆาตพยาบาทพระพุทธองค์ เพราะนอกจากจะทำให้พระเทวทัตต้องธรณีสูบ พระพุทธองค์ยังทำให้เจ้าหญิงยโสธราธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะเป็นหม้าย จึงกลั่นแกล้งพระพุทธองค์ด้วยการเกณฑ์อำมาตย์ข้าราชบริพารไปนั่งเสพเมรัยขวางทางที่พระพุทธองค์จะออกบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ ซึ่งทางนั้นมีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จดำเนินไปได้ เมื่อเสด็จดำเนินผ่านไม่ได้เพราะพระเจ้าสุปปพุทธะกับบริวารขวางอยู่วันนั้น พระพุทธองค์ทรงอดพระกระยาหาร ๑ วัน พระอานนท์จึงทูลถามอยากจะทราบโทษของพระเจ้าสุปปพุทธะ พระพุทธองค์จึงทรงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปนับได้ ๗ วัน พระเจ้าสุปปพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป

เมื่อบริวารของพระเจ้าสุปปพุทธะกลับไปถวายรายงาน พระเจ้าสุปปพุทธะก็มีจิตต้องการให้พุทธฎีกาของพระพุทธองค์มิเป็นความจริง จึงขึ้นประทับ ณ ปราสาท ๗ ชั้น แต่ละชั้นมีนายทวารป้องกันแข็งขัน ทรงตรัสกับนายทวารที่มีร่างกายกำยำนั้นว่า ในระหว่าง ๗ วันนี้ ถ้าฉันลงมาละก็ พวกเธอจงขัดขวางเอาไว้ไม่มีใครทำโทษ โดยประกาศต่ออำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระบรมวงศานุวงศ์ไว้ดังนั้น เพื่อมิให้นายทวารทั้งหลายต้องโทษ จนกระทั่งถึงวันที่ ๗ วันนั้นปรากฏว่า ม้าแก้ว ซึ่งเป็นม้าทรงศึกที่พระเจ้าสุปปพุทธะโปรดปราน อาละวาดกระทืบโรง ร้องเสียงดังมาก พระเจ้าสุปปพุทธะเกิดเป็นห่วงม้า ด้วยอาการขาดสติจึงทรงลงจากปราสาทชั้น ๗ แต่ปรากฏว่านายทวารมิได้ขัดขวาง ด้วยคิดว่าเลยครบกำหนด ๗ วันแล้ว พอพระเจ้าสุปปพุทธะย่างพระบาทเหยียบแผ่นดิน ก็ถูกพระธรณีสูบหายไปสู่มหานรกอเวจี ตรงตามพุทธะฎีกาที่ตรัสไว้แก่พระอานนท์



และได้มีเรื่องเล่าอีกเกี่ยวกับธรณีสูบในประเทศไทย เมื่อราว ๕๐ กว่าปีผ่านมาที่ลพบุรี สมัยที่บ้านเมืองยังไม่เจริญเช่นทุกวันนี้เล่ากันว่า



(อ่านต่อ ในบทความ ธรณีสูบ ตอน 2)

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บุญบั้งไฟประเพณีถวยแถน

ฮีตหนึ่งนั้น เถิงเดือนหกแล้วให้นำเอาน้ำวารีสรงโสก ฮดพระพุทธรูปเหนือใต้สู่ภาย อย่าได้ละเบี่ยงบ้ายปัดป่ายหายหยุด มันสิสูญเสียศรีต่ำไปเมือหน้า จงพากันทำแท้แนวคองฮีตเก่า เอาบุญไปเรื่อยๆ อย่าถอยหน้าหากสิเสียคำกล่าวนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงความยึดมั่นในการทำบุญของคนอีสาน



               จึงก่อให้เกิด ฮีตสิบสองเดือน ของชาวอีสาน ซึ่งในแต่ละเดือนจะมีประเพณีการทำบุญที่เกี่ยวเนื่องกับ พระพุทธศาสนา และผีสางเทพเทวดา  ตลอดเวลา ทั้ง 12 เดือน หรือตลอดระยะเวลา 1 ปี จึงทำให้พื้นที่ ที่คนกล่าวขานกันว่าพื้นที่ที่ราบสูงแห่งนี้ เต็มไปด้วยความสามัคคี  ความมีน้ำใจไมตรี และเต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชาติ  







ในวันที่ 26 27 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ตำบลบ้านห้วยแอ่ง อำเภอเมืองมหาสารคาม ได้จัดบุญบั้งไฟที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ภายในตำบล บุญบั้งไฟเป็นประเพณีที่นิยมทำกันในเดือน ๖ ของทุกปี จากการกล่าวเล่าของผู้เฒ่าในตำบลห้วยแอ่งเกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟได้ความว่า การจัดทำบุญบั้งไฟ เพื่อบูชาอารักษ์หลักเมืองและถวยแถน(ถวายพญาแถน) เป็นประเพณีทำบุญขอฝนจากพญาแถนเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลบ้าง คนหรือวัวควายอาจเกิดป่วยเป็นโรคต่างๆ บ้างเป็นต้น และเมื่อทำบุญดังกล่าวแล้ว ก็เชื่อว่าฟ้าฝนจะอุดมสมบูรณ์ ประชาชนในหมู่บ้านนั้นจะอยู่เย็นเป็นสุข มีอาหารข้าวปลาที่บริบูรณ์ทั้งปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ





               ปีนี้งานบุญบั้งไฟของทางตำบลห้วยแอ่งได้จัดยิ่งใหญ่เฉกเช่นทุกปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ มีความพิเศษอยู่ที่ มหรสพที่นำมาแสดงในงาน เป็น วงโปงลาง ของคณะแคนศิลป์  จากพิพิธภัณฑ์เมืองมหาสารคาม(หนองข่า) ความพิเศษที่ว่าคือ ตามปกติแล้ว วงโปงลาง จะเป็นวงใหญ่ และมีอุปกรณ์เครื่องดนตรีเยอะแยะมากมาย แต่ทางคณะวงโปงลาง แคนศิลป์ มีเครื่องดนตรีไม่มาก นักแสดงไม่มาก หรือกล่าวง่ายๆคือ วงโปงลาง แบบโฟล์คนั่นเอง  มีโปงลาง  แคนวง ประมาณ 2-3 เต้า โหวด พิณโปร่ง  ฉาบ กลองลูกเดียว นางรำ ประมาณ 4 6 คน หมอลำและนักแสดงอีกประมาณ 3-4 คน รวมทั้งหมดประมาณ 20 กว่าคนแค่นั้น ซึ่งทำให้งานบุญบั้งไฟในครั้งนี้ครึกครื้นได้มากทีเดียว ทั้งชาวบ้าน และทางวงแคนศิลป์เองก็มีความสุขที่ได้ร่วมงานบุญบั้งไฟของทาง อบต.ห้วยแอ่งในครั้งนี้ ทางชาวบ้านก็เป็นกันเอง อย่างมาก เห็นได้จาก ตั้งแต่ทางคณะแคนศิลป์ได้ก้าวเดินลงจากรถ ชาวบ้านและผู้จัดงานบางส่วนก็มาต้อนรับ และหาน้ำหาอาหารมาต้อนรับ ทั้งขนมจีนน้ำยาที่ผู้เขียนสามารถการันตรีถึงรสชาติความอร่อย  ไอศกรีมโคลนแบบบ้านๆ คนละ 1 อัน แต่ทางผู้เขียนนั้นได้ทานถึง 4 อันเพราะต้องถือรอนางรำแต่งตัวกว่าจะเสร็จ อากาศก็ร้อนระอุ ไอศกรีมก็ละลายเร็ว เพื่อไม่ให้ไอศกรีมละลายไปมากจนทานไม่ได้ ทางผู้เขียนเลยอนุเคราะห์ทานให้หมดทั้ง 4 อัน ตลอดระยะเวลา  3 ชั่วโมงที่ทำการแสดงเรียกเสียงฮา และความสุขสนุกสนานให้กับทางชาวบ้านตำบลห้วยแอ่งเป็นอย่างดี 




               เมื่อการแสดงนั้นได้ถึงเวลาสิ้นสุดลง ด้วยความเอ็นดูของชาวบ้านที่มีต่อคณะวงแคนศิลป์ ชาวบ้านที่นั่งดูนั่งชมการแสดง ได้พากันเดินมาส่งขึ้นรถด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่มีความสุข เป็นภาพที่ประทับใจและติดตรึงในหัวใจของชาวแคนศิลป์ทุกคนให้หายจากอาการเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้ง  การแสดงถึงความเป็นวัฒนธรรมหรือการแสดงเอาใจคนดูนั้น ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องเป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่อลังการ แต่อยู่ที่กลยุทธ์ที่จะนำเสนอ ให้คนดูเข้าใจ ชอบ เรียกเสียงหัวเราะได้มาก จากสิ่งที่ตัวเองนั้นมี บางครั้ง มีแค่แคน 1 เต้า ผ้าขาวม้า 1 ผืน ใช้กลยุทธ์หาจุดขายของตนเองเจอก็สามารถเรียกความสนใจจากคนดูได้มากกว่า วงใหญ่ๆที่เล่นโดยไม่รู้ว่าจุดขายของตนเองอยู่ที่ใด   

สวยมาก

มือพิณผู้สูงอาดหลาด



อ๊ะ ๆ แอบงีบอีกแล้ว!!
ยายดลลี่


มือปืนหน้าไม้แคนสิลป์

ความเป็นพื้นเพของพื้นบ้านแคนสิลป์

สาวสวยจากนครพนม


ฟ้อนหางนกยูงหัวเรือ สกลนคร


หมอลำทองปึ้ด


เสียงโหวดเพราะมาก


ลำเรื่องท้าวสีทน


มือโปงลางเล่นได้คร่องมาก


ฟ้อนแห่ และฟ้อนถวย(ถวาย)พ่อปู่ตา

หมอลำคู่ขวัญ

พิธีไหว้ครูแคนศิลป์