จึงก่อให้เกิด “ฮีตสิบสองเดือน” ของชาวอีสาน ซึ่งในแต่ละเดือนจะมีประเพณีการทำบุญที่เกี่ยวเนื่องกับ พระพุทธศาสนา และผีสางเทพเทวดา ตลอดเวลา ทั้ง 12 เดือน หรือตลอดระยะเวลา 1 ปี จึงทำให้พื้นที่ ที่คนกล่าวขานกันว่าพื้นที่ที่ราบสูงแห่งนี้ เต็มไปด้วยความสามัคคี ความมีน้ำใจไมตรี และเต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชาติ

ในวันที่ 26 – 27 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ตำบลบ้านห้วยแอ่ง อำเภอเมืองมหาสารคาม ได้จัดบุญบั้งไฟที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ภายในตำบล บุญบั้งไฟเป็นประเพณีที่นิยมทำกันในเดือน ๖ ของทุกปี จากการกล่าวเล่าของผู้เฒ่าในตำบลห้วยแอ่งเกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟได้ความว่า การจัดทำบุญบั้งไฟ เพื่อบูชาอารักษ์หลักเมืองและถวยแถน(ถวายพญาแถน) เป็นประเพณีทำบุญขอฝนจากพญาแถนเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลบ้าง คนหรือวัวควายอาจเกิดป่วยเป็นโรคต่างๆ บ้างเป็นต้น และเมื่อทำบุญดังกล่าวแล้ว ก็เชื่อว่าฟ้าฝนจะอุดมสมบูรณ์ ประชาชนในหมู่บ้านนั้นจะอยู่เย็นเป็นสุข มีอาหารข้าวปลาที่บริบูรณ์ทั้งปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

ปีนี้งานบุญบั้งไฟของทางตำบลห้วยแอ่งได้จัดยิ่งใหญ่เฉกเช่นทุกปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ มีความพิเศษอยู่ที่ มหรสพที่นำมาแสดงในงาน เป็น วงโปงลาง ของคณะแคนศิลป์ จากพิพิธภัณฑ์เมืองมหาสารคาม(หนองข่า) ความพิเศษที่ว่าคือ ตามปกติแล้ว วงโปงลาง จะเป็นวงใหญ่ และมีอุปกรณ์เครื่องดนตรีเยอะแยะมากมาย แต่ทางคณะวงโปงลาง แคนศิลป์ มีเครื่องดนตรีไม่มาก นักแสดงไม่มาก หรือกล่าวง่ายๆคือ วงโปงลาง แบบโฟล์คนั่นเอง มีโปงลาง แคนวง ประมาณ 2-3 เต้า โหวด พิณโปร่ง ฉาบ กลองลูกเดียว นางรำ ประมาณ 4 – 6 คน หมอลำและนักแสดงอีกประมาณ 3-4 คน รวมทั้งหมดประมาณ 20 กว่าคนแค่นั้น ซึ่งทำให้งานบุญบั้งไฟในครั้งนี้ครึกครื้นได้มากทีเดียว ทั้งชาวบ้าน และทางวงแคนศิลป์เองก็มีความสุขที่ได้ร่วมงานบุญบั้งไฟของทาง อบต.ห้วยแอ่งในครั้งนี้ ทางชาวบ้านก็เป็นกันเอง อย่างมาก เห็นได้จาก ตั้งแต่ทางคณะแคนศิลป์ได้ก้าวเดินลงจากรถ ชาวบ้านและผู้จัดงานบางส่วนก็มาต้อนรับ และหาน้ำหาอาหารมาต้อนรับ ทั้งขนมจีนน้ำยาที่ผู้เขียนสามารถการันตรีถึงรสชาติความอร่อย ไอศกรีมโคลนแบบบ้านๆ คนละ 1 อัน แต่ทางผู้เขียนนั้นได้ทานถึง 4 อันเพราะต้องถือรอนางรำแต่งตัวกว่าจะเสร็จ อากาศก็ร้อนระอุ ไอศกรีมก็ละลายเร็ว เพื่อไม่ให้ไอศกรีมละลายไปมากจนทานไม่ได้ ทางผู้เขียนเลยอนุเคราะห์ทานให้หมดทั้ง 4 อัน ตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงที่ทำการแสดงเรียกเสียงฮา และความสุขสนุกสนานให้กับทางชาวบ้านตำบลห้วยแอ่งเป็นอย่างดี
เมื่อการแสดงนั้นได้ถึงเวลาสิ้นสุดลง ด้วยความเอ็นดูของชาวบ้านที่มีต่อคณะวงแคนศิลป์ ชาวบ้านที่นั่งดูนั่งชมการแสดง ได้พากันเดินมาส่งขึ้นรถด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่มีความสุข เป็นภาพที่ประทับใจและติดตรึงในหัวใจของชาวแคนศิลป์ทุกคนให้หายจากอาการเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้ง การแสดงถึงความเป็นวัฒนธรรมหรือการแสดงเอาใจคนดูนั้น ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องเป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่อลังการ แต่อยู่ที่กลยุทธ์ที่จะนำเสนอ ให้คนดูเข้าใจ ชอบ เรียกเสียงหัวเราะได้มาก จากสิ่งที่ตัวเองนั้นมี บางครั้ง มีแค่แคน 1 เต้า ผ้าขาวม้า 1 ผืน ใช้กลยุทธ์หาจุดขายของตนเองเจอก็สามารถเรียกความสนใจจากคนดูได้มากกว่า วงใหญ่ๆที่เล่นโดยไม่รู้ว่าจุดขายของตนเองอยู่ที่ใด
![]() |
| สวยมาก |
![]() |
| มือพิณผู้สูงอาดหลาด |

































เขียนให้ตลอดนะ มีคนเข้ามาอ่านเรื่อยๆ เขียนเป้นบันทึกความทรงจำดีๆไว้นะ เป็นจำลังใจแล้วจะมาอ่านบ่อยๆ
ตอบลบ